-
กลับไปหน้าแรกข่าว  ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2560
26 ม.ค. 2017

ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2560

              การสำรวจนี้ได้ไปเยี่ยมเยียนโครงการต่าง ๆ ที่กำลังขายกันอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึง 1,837 โครงการ และในจำนวนนี้มี 1,246 โครงการที่ยังมีหน่วยขายเหลืออยู่ถึง 20 หน่วยขึ้นไป  แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครคึกคักที่สุดในนครหลวงต่าง ๆ ทั่วอาเซียน ทั้งนี้อันดับสองคือกรุงจาการ์ตามีโครงการที่กำลังขายอยู่เพียง 411 แห่งเท่านั้น  นอกจากนี้ในการสำรวจนี้ยังรวมถึงโครงการที่เปิดใหม่ในปี 2560 อีก 459 โครงการอีกด้วย  โดยในแต่ละโครงการศูนย์ข้อมูลฯ ได้เข้าไปสำรวจถึงที่ตั้งในทุกโครงการที่เปิดใหม่ และไปสำรวจการเปลี่ยนแปลงในการขายและการตลาดทุกรอบไตรมาสอีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่โครงการเปิดใหม่ในปี 2559 นั้นเพิ่มขึ้นกว่าปี 2558 เล็กน้อย แม้จะเรียกได้ว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นก็ตาม เพราะเพิ่มขึ้นเพียง 2.4%  ทั้งนี้ข้อมูลรายเดือนจากการสำรวจโครงการใหม่อาจน้อยกว่านี้ เพราะในแต่ละไตรมาส ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ไปสำรวจแบบ "ปูพรม" จึงพบโครงการที่ตกหล่นบ้าง  และสุดท้ายจึงได้จำนวนโครงการเปิดใหม่ 459 หน่วย จากปี 2538 ที่มี 431 หน่วย  จำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น 2.4% จากที่เกิดขึ้น 107,990 หน่วยในปี 2558 เพิ่มเป็น 110,557 หน่วย  อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากมูลค่าการพัฒนาจะพบว่ามูลค่าลดลงถึง 12.2% คือลดลงจาก 435,056 ล้านบาทในปี 2558 เหลือเพียง 382,110 ล้านบาทเท่านั้น  การลดลงของมูลค่านี้เป็นเพราะในปี 2558 มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาแพงเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษ  แต่ในปี 2559 สินค้าราคาแพงกลับเกิดขึ้นน้อยลง ทำให้มูลค่าลดต่ำลง  จะเห็นได้ว่าราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในปี 2559 คือ 3.456 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่เป็นราคาสูงถึง 4.029 ล้านบาทในปี 2558  ราคาบ้านในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังถูกกว่าในกรุงฮานอยที่ขายสูงถึงเฉลี่ยหน่วยละสูงถึง 5.648 ล้านบาท ในจำนวนสินค้าเปิดใหม่ 110,577 หน่วยนั้น  มีจำนวนถึง 58,350 หน่วย หรือ 53% เป็นห้องชุดพักอาศัย รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ 29,932 หน่วย (27%) และบ้านเดี่ยว 12,146 หน่วยหรือ 11%  อาจกล่าวได้ว่าสินค้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาททั้งหมดที่เปิดตัวมี 36% ของทั้งหมด  และหากนับรวมสินค้าที่มีราคาปานกลางทั้งหลาย (คือ ณ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย) จะพบว่ามีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 61% ของทั้งหมด  ส่วนสินค้าที่มีราคาแพงคือตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปนั้น มีเพียง 3,295 หน่วย  หรือเพียง 3% ของทั้งตลาด แต่มีมูลค่ารวมกันถึง 18% ของทั้งตลาด ศูนย์ข้อมูลฯ พบว่า อุปทานที่เปิดขายใหม่  ทั้งปี 59 จำนวนโครงการ จำนวนหน่วยขาย เพิ่มขึ้น แต่มูลค่า และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 58 อาจกล่าวได้ว่าอุปสงค์ ทั้งปีโดยรวมลดลง 5,489 หน่วย หรือ -5.3% จากปี 2558  ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ อุปทานคงเหลือสะสม รวม ณ สิ้นปี 2559 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 58 ประมาณ 7.2% จาก 171,905 หน่วย ณ สิ้นปี 58 เพิ่มเป็น 184,329 หน่วย (เพิ่ม 12,424 หน่วย) สำหรับเหตุผลที่โครงการเจ๊งไปเพราะสถานบันการเงินไม่อำนวยสินเชื่อ 26% ไม่ผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม 24% และขายไม่ออก 16%  อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับอุปทานโดยรวมทั้งหมดแล้ว จะพบว่ายังไม่เป็นสัญญาณที่ถึงขีดอันตราย  แต่หากในอนาคตยังพุ่งไม่หยุด ก็อาจเป็นปัญหาได้ ดังนั้นศูนย์ข้อมูลฯ จึงเชื่อว่าปี 2560 สถานการณ์จะยังเป็นเช่นเดียวกับปี 2559 คือคล้ายปีก่อนหน้าและอาจเพิ่มขึ้นบ้าง  ส่วนในปี 2561 สถานการณ์น่าจะกระเตื้องขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้  อย่างไรก็ตามหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะส่งผลให้กำลังซื้อลดลง การพัฒนาที่อยู่อาศัยก็อาจลดลงได้เช่นกัน 

ที่มา : http://close-upthailand.com/news--p--1-2698-%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%A82560.html​