-
กลับไปหน้าแรกข่าว  ภาษีน้ำ: หลักการดี และวิธีคิดชั่ว หนักกว่าภาษีที่ดิน
2 ต.ค. 2017

ภาษีน้ำ: หลักการดี และวิธีคิดชั่ว หนักกว่าภาษีที่ดิน

ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรนํ้าฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช. มีหลักการที่ดีก็คือ ใครที่ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมต้องจ่ายภาษี ไม่ใช่นำไปใช้ฟรี ๆ เช่น ในกรณีโรงงาน "กระทิงแดง" หากมีการใช้น้ำจำนวนมหาศาลจากเขื่อนอุบลรัตน์ (น้ำพอง) ก็ควรที่จะเสียภาษี หรืออีกนัยหนึ่งควรที่ซื้อน้ำไปใช้จึงจะสมควร  แต่สำหรับชาวนาที่ ต้องเสียค่าน้ำอัตราลูกบาศก์เมตรละ 0.5 บาทนั้น เป็นวิธีคิดที่ "ชั่วช้า" มาก เพราะคิดบนฐานว่าประชาชนชาวนาใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง เพราะขาดความรู้ ความเข้าใจในการใช้น้ำเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ จากข้อมูลการเกษตรพบว่า การใช้น้ำทำนานั้น มีปริมาณประมาณ 600 - 1,100 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ สมมติหากใช้น้ำ 900 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ก็ต้องเสียภาษีไร่ละ 450 บาท ถ้าทำนาได้ 2 ครั้งก็เสีย 900 บาท ถ้าทำนาปีละ 3 ครั้ง ก็จะเสียเป็นเงิน 1,350 บาท ถ้าสมมติให้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสียปีละ 1,000 บาท และที่ดินเพื่อการเกษตร มีมูลค่าไร่ละ 100,000 บาท ก็เท่ากับเสียภาษี 1% ในขณะที่ที่ดินเกษตรกรรมตามร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เกษตรกรที่มีที่ดินที่มีราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี และหากต้องเสียก็จะเสียภาษีในอัตราเพดานเพียง 0.2% ตามข้อมูลของทางกรมชลประทานในประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำรวมของทั้งประเทศ ในปี พ.ศ. 2560 อยู่ที่ประมาณปีละ 151,750 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นความต้องการน้ำเพื่อการเกษตร สูงถึง 113,960 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 75 ของความต้องการน้ำทั้งหมดถ้า มีการเก็บภาษีที่ 0.5 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ก็เท่ากับจะได้ภาษีถึง 56,980 ล้านบาท ถ้ามีการเก็บภาษีจำนวนนี้ ก็คงทำให้สินค้าต่างๆ พาเหรดกันขึ้นราคากันยกใหญ่

ที่มา : https://dmcpost.blogspot.com/2017/10/blog-post_45.html

วันที่ 30 ก.ย. 60