-
กลับไปหน้าแรกข่าว  ไม่ยึดติดตัวบุคคล "ดิ เอราวัณ กรุ๊ป" มาถึงวันนี้ เน้นบริหารเป็นระบบ
7 มิ.ย. 2017

ไม่ยึดติดตัวบุคคล "ดิ เอราวัณ กรุ๊ป" มาถึงวันนี้ เน้นบริหารเป็นระบบ

                นางกมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2525 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 จนปัจจุบันเป็นผู้นำธุรกิจการพัฒนาและการลงทุนโรงแรมตลอดจนรีสอร์ตในประเทศไทย โดยมีเครือข่ายโรงแรมและรีสอร์ตระดับราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ 5 ดาว ไปจนถึงระดับกลาง ระดับชั้นประหยัด และระดับบัดเจ็ท ซึ่งครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยจะเน้นการบริหารจัดการ ทุกอย่างเป็นระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ยึดติดกับตัวบุคคล นอกจากนี้ ยังสนับสนุนบุคลากรที่มีทักษะและความชำนาญให้มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่าน มา นักท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่องและคาดว่าในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2560 จำนวนจะมากกว่า 9,000,000 คน อย่างแน่นอนซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีต่อธุรกิจบริษัทฯ หลังจากที่เมื่อช่วงปลายปี 2559 มีการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจากสถานการณ์ไม่ปกติของประเทศรวมทั้งผลกระทบจากปัญหา ทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงผลในระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าของโรงแรมในเครือบริษัทฯ ไม่ใช่กลุ่มทัวร์จีนอยู่แล้วจึงไม่ได้รับผลกระทบ สำหรับแผนธุรกิจช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 นั้น บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ที่ 10,000,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายธุรกิจโรงแรมในเครือให้เพิ่มจำนวนเป็น 95 แห่ง จากสิ้นปี 2559 ที่มีจำนวน 41 แห่ง โดยในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดโรงแรมแบรนด์ฮ็อปอินน์ทั้งหมด 9 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 8 แห่ง และอีก 1 แห่ง ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะส่งผลให้มีจำนวนห้องพักรวมเพิ่มขึ้นเป็น 7,153 ห้อง จากในปัจจุบัน 6,385 ห้อง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะ เติบโต 10% จากปี 2559 ที่มีรายได้ประมาณ 5,663.95 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งจากธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรม โดยวางเป้าหมายผลักดัน อัตราการเข้าพักให้เพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 79% และมีอัตราค่าห้องพักเติบโตขึ้นประมาณ 7% จากปีก่อน ภายใต้คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยที่ 34.4 ล้านคน หรือเติบโต 6% จากปีก่อน หลังจากบริษัทฯ ได้เริ่มไปขยายธุรกิจโรงแรมไปในประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศต่อไปที่บริษัทฯ ได้มองโอกาสไว้นั่นคือ เวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่เริ่มมีชาวต่างชาติเข้า ไปลงทุนเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น แต่การจะเข้าไปลงทุนนั้นคงจะไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้คงต้องรอระยะเวลาที่เหมาะสมก่อน
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/870831

วันที่ 7 มี.ค. 60