-
กลับไปหน้าแรกเว็บบอร์ด  ซื้อบ้านมาลงทุน จะคุ้มค่าจริงหรือ

การลงทุนคือความเสี่ยง  ยิ่งการลงทุนกับอสังหาฯ ซึ่งมีราคาสูงก็นับว่ามีความเสี่ยงมาก  ลองมาเปรียบเทียบเหตุผลกันดูสักนิด  ก่อนคิดลงทุน

การซื้อบ้านนอกจากการใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังถือ เป็นการลงทุนอีกประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยเงินฝากตกกราวรวดอย่างเช่นใน ปัจจุบัน มักจะเห็นคนถอนเงินจากธนาคารไปลงทุนด้วยวิธีการอื่นๆ แทน อาทิ การลงทุนในพันธบัตร การลงทุนในตลาดทุนหรือการลงทุนในหุ้น การลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ การซื้อทอง รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

สาเหตุที่การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความน่าสนใจ เพราะปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเริ่มฟื้นตัวอยู่ในช่วงขาขึ้น แนวโน้มของราคาสินทรัพย์มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 10-20% (จากการให้เช่าโดยที่ยังไม่รวมกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่อาจเกิดใน อนาคต) ในขณะที่มีปัจจัยเอื้อให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์มีราคาที่ต่ำลง ได้แก่

มาตรการรัฐที่ช่วยในการสนับสนุนการซื้อ-ขาย ทั้งการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน การลดหย่อนค่าจดจำนอง การลดหย่อนภาษีเงินได้จากเกินดาวน์ เป็นต้น ประกอบกับ ภาวะการปล่อยสินเชื่อสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์และ สถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายและมีการแข่งขันกันมากขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำและราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ยังไม่แพงเกินไป ซึ่งปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจึงมี มากขึ้น

การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในยุค ปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารอยู่ที่ประมาณ 2% หากถอนเงินจากธนาคารมาลงทุนซื้อบ้านไว้สักหนึ่งหลังเพื่อปล่อยให้เช่าใน อัตรา 1% ของราคาบ้านที่ซื้อ เช่น ซื้อบ้านมา 500,000 บาท ปล่อยเช่าในอัตรา 1%ของราคาซื้อเท่ากับ 5,000 บาทต่อเดือน ในเวลา 1 ปี จะได้ผลตอบแทนคิดเป็น 12% ของราคาซื้อบ้านที่ลงทุนไป ซึ่งคุ้มค่าการการฝากเงินถึง 10%

การซื้ออสังหาริมทรัพย์ทรัพย์สำหรับการลงทุนมีหลักและข้อควรพิจารณา สำหรับผู้ซื้ออย่างบางประการ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ประการแรก อสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อต้องมีสภาพคล่องสูงพอสมควร คือ สามารถขายออกไปได้เร็วในกรณีที่ผู้ซื้อต้องการจะขาย ดังนั้นการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงควรอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพเพียงพอและ มีโอกาสขายคืนในอนาคตสูง โดยผู้ซื้อต้องพิจารณาก่อนว่าต้องการซื้อเพื่อขายออกไปภายในกี่ปี ถ้ากำหนดเวลาไว้สั้นไปการขายออกจะค่อนข้างลำบาก นอกจากนั้นผู้ซื้อต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในระหว่างการถือครอง เช่น การ ซ่อมแซม การดูแลรักษาด้วย


ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มองการซื้อบ้านเป็น "การลงทุน" ประเภทหนึ่ง รวมไปถึงการเก็งกำไร ถ้าเป็นกรณีนี้ก็จะต้องพิจารณากันมากเป็นพิเศษ ต้องกะเก็งกันว่า แถวไหนให้ผลตอบแทนดี และต่อไปราคาจะขึ้นมากมั้ย เป็นประเด็นสำคัญในการลงทุน กล่าวคือ ในการลงทุนบ้านหรือในอสังหาริมทรัพย์จะต้องพิจารณาผลตอบแทน 2 ส่วน

 

1. ผลตอบแทนในช่วงที่เราถือครอง

พิจารณาจาก "ค่าเช่าสุทธิ" ที่ได้รับต่อปี ซึ่งไม่ควรต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหรือดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล ไม่งั้นก็ไปฝากเงินแบงก์หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลดีกว่า อันนี้ฝรั่งมันเรียกว่า Return on Investment

ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านหลังหนึ่งมาในราคา 1,000,000 บาท แล้วต้องสำรวจดูว่าปล่อยให้เช่าได้เท่าใด สมมติเดือนละ 10,000 บาท ปีหนึ่งก็ได้เต็มที่ 120,000 บาท แต่ถ้าหักช่วงที่บ้านไม่มีคนเช่าบ้างสัก 1-2 เดือน (ตามรายงานการสำรวจวิจัยต่าง ๆ เขาเรียกว่า อัตราว่าง หรือ Vacancy Rate และยังต้องหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าดำเนินการ ภาษี (ช่วยจ่ายกันเถอะครับพี่น้อง ช่วยสร้างทัศนคติให้เด็กรุ่นหลังมัน เราก็สอนได้ลูกหลานเราแหละครับ อย่าไปหวังจากคนอื่น บางคนก็คงต้องให้หมดเผ่าพันธุ์ไปเอง เพราะพ่อมันไม่สอนลูก ลูกมันก็คงไม่สอนหลาน)

ดังนั้น หากหักค่าใช้จ่ายด้วยคงเหลือสุทธิสัก 80,000 บาท ก็เทียบกับเงินซื้อมาได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี (80,000 บาท เทียบกับ 1,000,000 บาท) ก็ไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาลดู แต่บางคนเขาก็ไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ครับ เพราะบางทีไปกู้เงินมาซื้อดอกเบี้ยแค่ 4-5% แต่ค่าเช่าได้ถึง 8% อย่างว่า ก็เลยมีคนไปกู้แบงก์แล้วปล่อยเช่า แล้วยังมีเงินเหลืออีก และที่สำคัญยังมีส่วนต่างเมื่อขายอีก

2. ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาอสังหาริมทรัพย์เมื่อขายเทียบกับราคาซื้อมา

เรียกว่า Return of Investment ครับ ยกตัวอย่างหากซื้อบ้านมาในราคา 1,000,000 บาท และในอีก 5 ปีข้างหน้า ขายต่อได้ 1,500,000 บาท ก็จะทำกำไรได้อีก เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคาดการณ์อนาคต ถึงแนวโน้มของราคาอสังหาริมทรัพย์หรือวัฎจักรอสังหาริมทรัพย์ (Property Cycle) ว่าบ้านประเภทใด ระดับราคาใด ทำเลใด จะมีแนวโน้มดี แถวไหนจะรุ่ง แถวไหนจะริ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาขึ้นได้มากน้อย

หลักการง่ายๆ ของการลงทุน หรือการเก็งกำไรก็คือ ต้องซื้อให้ถูก และขายแพง ซึ่งทุกคนทราบดี แต่เมื่อไรจะราคาถูก (และควรซื้อไว้) เมื่อไรราคาแพง (และควรขายทำกำไร) เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องศึกษาภาวะตลาดและคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตว่าจะรุ่ง หรือริ่งครับ (เสียดายที่วันนี้คงไม่ได้มีโอกาสพูดถึง Property Cycle) ไม่ใช่ไปซื้อในขณะที่ราคาแพงแล้วเอาไว้ขายตอนราคาถูก (อันนี้เรียกว่า “แมงเม่า”) ยกตัวอย่างตามแผนภูมิครับ

โดยหลักแล้วการซื้อเพื่อการลงทุนมักจะซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เช่น นักลงทุนต่างชาติ แห่มาซื้อทรัพย์สินในบ้านเราในช่วงนั้นกันมาก และนำมาขายต่อทำกำไรในช่วงเศรษฐกิจดี สมัยท่านอดีตนายกทักษิณฯ ช่วงปี 2545-2547 ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นมาก เป็นต้น

ขณะเดียวกันการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เศรษฐกิจ “บูม” ไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะหากเราซื้อในราคาถูก (ต่ำกว่าราคาตลาด) เช่น ทรัพย์ธนาคารฯ ช่วงลดราคา ถ้าพิจารณาในแง่การลงทุนแล้วเราก็สามารถซื้อได้ทำกำไรได้

เช่น บ้านหลังหนึ่ง ราคาตลาดควรเป็น 1,000,000 บาท แต่เจ้าของบอกขายเพียง 700,000 บาท และหากเราเทียบว่าเงิน 700,000 บาทที่อยู่ในธนาคารฯ ฝากธนาคารไว้ 5 ปี ถ้าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% ก็จะเป็นเงินเพียง 893,397 บาท แต่ถ้าหากเราซื้อบ้านคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาตลาดจะเพิ่มเป็น 1,200,000 บาท กรณีนี้เราก็ควรจะซื้อ เพราะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากธนาคารมาก เป็นต้น

การเพิ่มขึ้นของราคา อสังหาริมทรัพย์ เป็นเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนจำนวนมากชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะที่ผ่านมาในบ้านเราส่วนใหญ่แล้วราคาอสังหาริมทรัพย์มีแต่ขึ้นกับขึ้น เว้นแต่ในช่วงวิกฤติปี 2540-2542 ที่ราคาตกลง

แต่จริงๆ เป็นเพราะว่าเราทำตัวเองแทนที่จะปล่อยให้มีการเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติจาก ความต้องการใช้ที่แท้จริง แต่เรากลับมีการเก็งกำไรกันมากเกินไป ซึ่งการเก็งกำไรไม่ใช่ความต้องการที่จะใช้จริง เลยทำให้เกิดปัญหาราคาสูงเกินจริงไปช่วงปี 2537-2539 ดังนั้นถ้ามันจะตกลงมาบ้างก็เพราะฝีมือเรานั่นแหละ

ผมอยากให้ท่านที่คิดว่า  จะซื้อบ้านในกรณีทั่วไปข้างต้น ลองพิจารณาในมุมของการลงทุนด้วย เนื่องจากว่าแท้จริงแล้วนี่คือการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต เพราะว่าถ้าต้องกู้เงินกว่าจะผ่อนบ้านหมดอาจต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิต ทีเดียว และยังเป็นมรดกตกทอดไปยังลูกหลานอีกในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ฝากไว้คิดกันเล่น ๆ ครับ คือว่า คนจีนมักสอนลูกหลานว่า ให้ลงทุนค้าขายหรือยุคนี้เรียกว่าทำธุรกิจก่อน ให้รวยก่อนแล้วบ้านซื้อทีหลังก็ยังได้ ในขณะที่คนไทยเรามักสอนลูกหลานให้ซื้อบ้านก่อนเพราะท่านเห็นว่าเป็นการสร้าง ความความมั่นคงให้กับชีวิต


แหล่งข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


 
=> 1939